วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ไขมันเลว - ไขมันดี

พญ. ญาณนุช เมตติกานนท์

เป็น ที่ทราบกันดีว่า อาหารที่เรารับประทานทุกวันนี้ มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตแต่ท่านหรือไม่ว่า อาหารบางชนิดก็เกิดโทษอย่างที่ เราคาดไม่ถึงเหมือนกัน เช่น อาหารที่มีไขมันสูงอาจจะทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันที่หัวใจ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดในคนสูงอายุเท่านั้น ปัจจุบันเราพบภาวะไขมันสูง และมีโรคเส้นเลือดอุดตันในคนหนุ่มสาวได้เช่นกัน

เนื่อง จากคนไทยเรายุคนี้ แนวโน้มของการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจะมากขึ้นจากอิทธิพลของชาวตะวันตก จึงพบว่าคนไทยเรามี อัตราเสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันเพิ่มขึ้นไปด้วย

นอกจากนั้น ความอ้วนและการชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัดเป็นประจำ ก็เป็นปัจจัยเสริมของการเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้
เนื่อง จากปัจจุบัน เรามีการศึกษาเรื่องไขมัน และโทษของมันมากขึ้น จึงอยากให้มาทำความรู้จักกับไขมันในเลือด ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ 2 กลุ่ม (เพื่อสะดวกในการจำและนำไปใช้) ดังนี้

1. ไขมันเลว (ถ้ามีปริมาณมากจะเป็นโทษต่อร่างกาย) ได้แก่ โคเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, LDL (ต่อไปถ้าแพทย์ บอกว่า LDL ให้ฟัง คงเข้าใจได้ดีขึ้น) ไขมันอิ่มตัว (ในฉลากอาหาร, ฉลากข้างขวดน้ำมันพืชบางยี่ห้อ จะเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า SATURATED FAT. นั่นหมายถึงไขมันอิ่มตัวนั่นเอง) นอกจากนั้นก็มีไขมัน TFA (ไม่ต้องจำชื่อก็ได้ แต่ให้ทราบว่า, ถ้าไขมันที่ดี ของเราผ่านขบวนการทางอุตสาหกรรมหรือทางเคมี ก็จะทำให้เปลี่ยนเป็นไขมันเลว หรือ TFA ได้ เช่น ผ่านความร้อนสูงมาก เช่น การกลั่นน้ำมันพืช หรือเติมไฮโดรเจน ให้อาหารกรอบ เช่น คุ๊กกี้ขนมกรอบทั้งหลาย เป็นต้น)

2. ไขมันดี เช่น HDL (คงได้ยินคุณหมอพูดกันบ่อย ๆ) ไขมันไม่อิ่มตัว (UNSATURATED FAT) (ซึ่งรวมถึงไขมัน โอเมก้า 3 ด้วย), เลซิติน พวกนี้จัดเป็นไขมันดี ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดอุดตันที่หัวใจและทำให้มีสุขภาพดี เราควรรู้ค่าปกติของ ไขมันในเลือดบางตัวที่เราสามารถตรวจวัดได้ดังนี้

1. โคเลสเตอรอลรวม (total cholesterol) เป็น Cholesterol ทุกชนิดรวมกันค่าปกติไม่ควรเกิน 200 mg% ถือว่าสูง ต้องงด อาหารพวกที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง, ไขมันสัตว์, เครื่องในสัตว์ (ถ้าอยากทราบว่าอาหารอะไรมี โคเลสเตอรอลประมาณเท่าไร ให้หาอ่านในหนังสือเกี่ยวกับโภชนาการทั่ว ๆ ไปได้)

2. โคเลสเตอรอล HDL. ซึ่งเป็นไขมันดี ค่ายิ่งสูงยิ่งดี, ถ้าต่ำกว่า 35 mg% ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดอุดตันที่หัวใจ การสูบ บุหรี่, ภาวะอ้วน, ภาวะขาดอาหาร จะทำให้ HDL ต่ำลงได้ ส่วนการออกกำลังกายจะทำให้ HDL เพิ่มขึ้น การดื่มไวน์แดงจำนวนเล็กน้อย เป็นประจำพบว่าเพิ่มไขมัน HDL ได้ถึง 5-10%

3. โคเลสเตอรอล LDL เป็นไขมันเลว ปกติไม่เกิน 130 mg% ถ้าเกิน 160 mg% จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น การควบคุมว่า จะเข้มงวดมากน้อยเพียงไร, ต้องกินยารักษาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรามีโรคอย่างอื่นที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจร่วมอยู่ด้วย หรือไม่

4. ไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันเลวอีกชนิดหนึ่ง ถ้าสูงมากจะเกิดตับอ่อนอักเสบได้ หรือเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจได้ ค่าปกติไม่ควรเกิน 200 mg% พบมากในอาหารพวกแป้ง, ของหวาน

ส่วน ไขมันอิ่มตัวหรือไขมันไม่อิ่มตัวนั้น เราตรวจเลือดวัดออกเป็นตัวเลขไม่ได้ ต้องควบคุมปริมาณที่กินเข้าไป โดยต้องทราบว่า ควรกิน ไขมันพวกนี้มากน้อยแค่ไหน

ไขมัน อิ่มตัวนั้น ไม่ควรกินมากกว่า 10% ของอาหารในแต่ละวัน ในฉลากอาหารมักจะเขียนเปอร์เซ็นต์ของไขมันอิ่มตัวว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ ให้เราทราบ ไขมันอิ่มตัวพบมากในเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก, เบคอน, นม, เนย, นอกนั้นก็จะพบในมาการีน, กะทิ, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันปาล์ม ไขมันอิ่มตัวนี้จะไปแย่งที่ไขมันที่จำเป็นของร่างกายทำให้เราเจ็บป่วยได้

ไขมัน ไม่อิ่มตัว จะมีหลายชนิดที่สำคัญและเรารู้จักกันดี คือ ไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ซึ่งทั้ง 2 นี้ พบมากในน้ำมันปลา (คนละอย่าง กับน้ำมันตับปลา) กรดไขมันโอเมก้า 3 นี้ จะสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันรูปอื่นซึ่งทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมนที่ทำให้เราเกิด ความสบาย ป้องกันการบวมน้ำ บรรเทาอาการอักเสบ ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน เสริมภูมิต้านทาน, ลดความดัน ปลาที่มีน้ำมันปลาสูงนั้นจะเป็น ปลาที่คาว, ส่วนที่มีน้ำมันปลามาก คือ ส่วนหัวปลา, พุงปลา, หนังปลา

การ ปรุงอาหารด้วยการทอดปลาจะเสียน้ำมันปลาไปกับน้ำมันที่ทอดได้ การนึ่ง ต้ม จะดีกว่าการย่าง การกินปลาจะได้โคเลสเตอรอล ไปด้วย ฉะนั้นควรกินปลาอย่างน้อย 1 ขีด ต่อ 1-2 สัปดาห์

อาหารที่แนะนำ
นอก เหนือจากอาหารดังกล่าวมาแล้ว อาหารพวกเส้นใย ละลายง่าย เช่น ข้าวโอ๊ต, ถั่วเหลือง, โปรตีนเกษตร, เต้าหู้, ข้าวกล้อง, มะนาว, ส้ม, แครอท พวกนี้จะช่วยลดไขมัเลวได้

ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงหรือลดอาหารที่มีโทษก็จะทำให้สุขภาพดี, ลดความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ ลงได้ค่ะ

http://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=921
น้ำตาลในผัก

ใครที่ชอบทานผัก ทราบหรือไม่ว่าผักแต่ละชนิดมีน้ำตาลอยู่มากน้อยแค่ไหน วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน....

ผักที่มีน้ำตาล 3-5 เปอร์เซ็นต์

มะเขือ น้ำเต้า ใบตังโอ๋ ผักกาดขาว ผักกระเฉด แตงกวา บวบ ผักโขม ผักบุ้ง หน่อไม้ หัวผักกาดขาว ฟักเขียว ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน ยอดฟักทอง เห็ดบัว แตงร้าน ผักตำลึง ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย มะระ ถั่วงอก ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า กุยช่าย สายบัว ชะอม ดอกหอม กะหล่ำปลี

ผักที่มีน้ำตาล 5-10 เปอร์เซ็นต์

ฝักถั่วลันเตา ใบชะพลู ต้นหอม ดอกกะหล่ำ ถั่วแขก ผักโขม หอมใหญ่ ใบทองหลาง ดอกโสน ถั่วพู มะรุม ดอกแค ขิง หน่อไม้ ข้าวโพดอ่อน หัวปลี กระเจี๊ยบ มะละกอดิบ ใบกระถิน ยอดและฝักอ่อนกระถิน

ผักที่มีน้ำตาล 15-20 เปอร์เซ็นต์

ดอกขี้เหล็ก เมล็ดถั่วลันเตา ใบมะขามอ่อน ใบย่านาง ผักหวาน ลูกเนียง มันฝรั่ง

ผักที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์

กระจับ กลอย เผือก มันเทศ ใบขี้เหล็ก แห้วจีน

รู้อย่างนี้แล้ว จะทานผักก็ต้องเลือกกันหน่อย เพื่อสุขภาพที่ดี.

http://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=861
น้ำตาล ตัวทำลายผิว

ถ้า คุณคิดว่าการทาครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดปกป้องผิวของคุณได้ ขอบอกเลยค่ะว่าคุณคิดผิด เพราะล่าสุดได้มีการวิจัยของแบรนด์เครื่องสำอางดังหลายแบรนด์ ออกมาว่า น้ำตาล ถือเป็นตัวทำลายผิวของเราได้ด้วยเช่นกัน

น้ำตาลเป็นตัวทำลายโครงสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนจริงหรือเปล่า
น้ำตาล เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการทำลายอีลาสตินและคอลลาเจนในผิวเท่านั้น ผิวของคนเรามีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำลายผิวอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นอายุ สิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งอาหาร ก็สามารถเป็นสาเหตุของการทำลายโครงสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนโดย สังเกตได้จากคนที่เป็นโรคเบาหวาน จะมีสภาพผิวที่ค่อนข้างกร้านกว่าคนทั่วไป และริ้วรอยที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ชัดมาก เนื่องจากเอนไซม์และน้ำตาลได้เข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว

น้ำตาลจะเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่เมื่อไร
จริงๆ น้ำตาลจะเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่วัยเด็กแล้ว แต่ด้วยกลไกลการทำงานของผิวในวัยเด็กจะถูกทดแทนทันทีหลังจากถูกทำลาย มีกระบวนการซ่อมแซมที่ดีกว่าผิวของผู้ใหญ่

ผิวที่ถูกน้ำตาลทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จะมีลักษณะอย่างไร
น้ำตาล จะเข้าไปจับคอลลาเจนให้เกิดการแข็งตัว พอแข็งตัวก็จะแตกและเปราะหักง่าย หลังจากอีลาสตินและคอลลาเจนเปราะหักแล้ว ผิวตรงนั้นก็จะเกิดการยุบตัวลง ลักษณะจะเหมือนที่นอนสปริงที่เกิดการหัก เมื่อนอนตรงนั้นก็จะเกิดการยุบตัว ผิวของเราก็เช่นกัน เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลาย ผิวบริเวณนั้นก็จะยุบตัวทันที เมื่อเกิดการยวบตัวลง ถ้ามองจากภายนอก บริเวณนั้นจะเกิดเป็นริ้วรอย และริ้วรอยจะตื้นหรือลึกก็ขึ้นอยู่กับผิวของเราโดนทำลายคอลลาเจนและอีลาสติ นมากน้อยแค่ไหน

เราจำเป็นต้องควบคุมน้ำตาลมากน้อยแค่ไหน
การ ควบคุมน้ำตาลจะช่วยในระดับหนึ่งเท่านั้นสำหรับการป้องกันเรื่องริ้วรอย แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะบริโภคน้ำตาลไม่ได้เลย เนื่องจากร่างกายของเรายังต้องการพลังงานจากน้ำตาล

เพื่อเป็นส่วน หนึ่งของกระบวนการสร้างพลังงาน เมื่อเราทานข้าว ขนมปัง ก็มีกลูโคส ซึ่งกลูโคสก็จะกลับมาในรูปพลังงานให้เรามีแรง แต่ถ้ารู้สึกกลัว ก็แค่บริโภคให้พอเหมาะกับความต้องการ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นเกราะป้องกัน เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญเป็นผลให้ปริมาณน้ำตาลในร่างกายลดน้อยลง

หันมาบริโภคน้ำตาลเทียมแทนจะช่วยได้หรือเปล่า
การ บริโภคน้ำตาลเทียมไม่ได้ช่วยอะไร เพราะถ้าทุกคนยังทานอาหารที่มีส่วนผสมของแป้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง ข้าว หรือแม้กระทั่งเส้นก๋วยเตี๋ยว ล้วนแต่ทำมาจากแป้ง ซึ่งกระบวนการย่อยอาหารจำพวกแป้งจะทำหน้าที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นกลูโคส กลูโคสถือเป็นหน่วยย่อยเล็กที่สุดของแป้งหรือของน้ำตาลที่ร่างกายสามารถนำไป ใช้ประโยชน์ได้ แต่พอมีกลูโคสมากเกินไปในร่างกายและไม่ได้เผาผลาญออกมา กลูโคสก็จะไปจับกับคอลลาเจนและอีลาสติน สุดท้ายก็จะส่งผลต่อผิวได้ในที่สุด

การออกกำลังกายจะช่วยได้หรือเปล่า
การ ออกกำลังกายถือเป็นเรื่องดีที่สุดในการดูแลสุขภาพ ยิ่งบริโภคน้ำตาลมากไปเท่าไหร่ควรมีการเผาผลาญโดยการออกกำลังการมากขึ้นตาม ด้วย ระยะเวลาในการออกกำลังกายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เริ่มตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป เพราะช่วงระยะเวลา15-20 นาทีแรก ร่างกายจะใช้พลังงานจากน้ำตาลก่อน หลังจากนั้นจะใช้จากไขมัน ถือว่าการออกกำลังกายเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการปกป้องผิวจากน้ำตาลhttp://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=949
สารฟอกขาว...อย่าวางใจ อันตรายต่อชีวิต

สาร ฟอกขาว หรือ สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (Sodiumhydrosulfite) หรือ ผงซักมุ้ง นิยมใช้ในอุตสาหกรรมฟอกย้อมเส้นใยไหม และอวน แต่พบว่ามีผู้ค้าบางรายนำมาใช้ฟอกขาวในอาหาร เพื่อให้อาหารมีความขาวสดใส น่ารับประทานและดูใหม่อยู่เสมอ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

อาหารที่มักตรวจพบสารฟอกขาว

ถั่วงอก ขิงฝอย ยอดมะพร้าว กระท้อน หน่อไม้ดอง น้ำตาลมะพร้าวทุเรียนกวน

อันตรายต่อผู้บริโภค

หาก สัมผัสสารฟอกขาวโดยตรงจะทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงและถ้าบริโภคเข้าไปจะ ทำให้เกิดอาการอักเสบในอวัยวะที่ไปสัมผัสเช่น ปาก ลำคอ กระเพาะอาหาร นอกจากนั้น ทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง ปวดศรีษะ อาเจียน อุจจาระร่วง และหากแพ้สารนี้อย่างรุนแรงจะทำให้ถ่ายเป็นเลือด ชัก ช็อก หมดสติ หายใจไม่ออก ไตวาย และเสียชีวิตในที่สุด

วิธีหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารฟอกขาว

เลือก ซื้ออาหารที่สะอาด มีสีใกล้เคียงกับธรรมชาติ ไม่ขาวจนผิดปกติเช่น ทุเรียนกวนที่มีสีคล้ำตามธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการซื้อถั่วงอกหรือขิงซอยที่
ผ่านการใช้สารฟอกขาว จนทำให้มีสีขาวอยู่เสมอแม้ตากลมสีก็ยังไม่คล้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ก่อนบริโภคอาหารที่สงสัยว่ามีสารฟอกขาว ควรทำให้สุก
เสียก่อนเพราะสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์จะถูกทำลายด้วยความร้อนซึ่ง ปลอดภัยกว่าการนำมารับประทานแบบสดๆ
http://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=962


ระวัง!! ขวดน้ำพลาสติก

ขวด น้ำพลาสติก ที่บรรจุน้ำดื่มที่ขาย ๆ กันตามห้างสรรพสินค้าเซเว่นอีเลฟเว่น รวมทั้งที่ไปเติมน้ำมันครบ 800 แถมน้ำ 1 ขวด อะไรทำนองนั้น ปัจจุบันเพิ่งมีคนตายเพราะการนำขวดพลาสติกดังกล่าวไปบรรจุน้ำดื่มครั้งแล้ว ครั้งเล่าโดยสารพิษชนิดหนึ่ง สามารถละลายออกมาปะปนกับน้ำดื่ม

เนื่องจากขวดประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ครั้งเดียว อายุการใช้งานสั้น ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สมควรเสียดาย นำมาบรรจุน้ำดื่มอีกรวมทั้งน้ำที่มากับขวด หากแม้ว่าเปิดกินไม่หมดแล้วเก็บไว้ในรถยนต์ซึ่งรถดังกล่าวอาจจอดที่ ๆ ร้อน ๆ ความร้อนก็มีผลกับสารพิษที่มากับขวดได้

ดังนั้นเมื่อเปิดดื่มแล้ว ควรดื่มให้หมดภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์โดยเฉพาะหากเก็บขวดนั้นไว้ที่ร้อน ๆ ถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้องจะปลอดภัยกว่าhttp://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=862

อย. เตือนอย่าเชื่อ “กาแฟลดอ้วน”

โดย ปกติ ชา กาแฟ จะมีสารกาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารตัวนี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ และระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองที่เฉื่อยตื่นตัวมากขึ้น สร้างความกระปรี้กระเปร่าช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย โดยขนาดปกติที่ได้รับไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากเป็นขนาดที่แสดงฤทธิ์ทางยา ซึ่งหากรับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลเสียให้เกิดอาการบางอย่าง เช่น กระวนกระวาย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หงุดหงิดได้

ด้วยเหตุนี้ "กาแฟ" จึงแทบจะกลายเป็นอาหารหลักของผู้บริโภค โดยเฉพาะคนในวัยทำงาน เนื่องด้วยสรรพคุณที่ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า หากแต่ก็มีนักโภชนาการหลายท่านที่กล่าวเตือนนักดื่มกาแฟ ให้ระมัดระวังผลข้างเคียงเรื่อง "ความอ้วน" เพราะน้ำตาล และครีมเทียม

แถมบางครั้งยังพ่วงท้ายด้วย นมข้นหวานเสร้างรสชาติเข้มข้น หวานมัน เหล่านี้เป็นตัวต้นเหตุของวายร้ายที่มีชื่อว่า "ความอ้วน" เข้ามาสร้างความหวาดหวั่น ให้กับผู้ดื่มกาแฟเป็นจำนวนมาก จึงเป็นสาเหตุให้ ผู้ประกอบการหัวใส ต่างงัดกลยุทธ์โน้มน้าวใจ อวดอ้างสรรพคุณ ว่าสามารถกำจัดจุดอ่อนในข้อนี้ได้ทำให้เกิดกระแสนิยมบริโภค "กาแฟลดความอ้วน"

สรรพคุณ "กาแฟลดความอ้วน" เชื่อได้หรือไม่

นพ. พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอ (อย.) กล่าวว่าการโฆษณา "กาแฟกินแล้วผอม" ดังกล่าวถือเป็นการกล่าวอ้างเกินจริง ซึ่งตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 40 ห้ามมิให้ผู้ใด โฆษณาคุณประโยชน์คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือเป็นการหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร

เนื่องจากกาแฟจัดเป็น "อาหาร" ไม่ใช่ "ยา" จึงไม่มีสรรพคุณการบำบัดความอ้วนได้การโฆษณากล่าวอ้างดังกล่าวจึงถือเป็นการ ลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสรรพคุณอาหาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอเตือนให้ผู้บริโภคระมัดระวังผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการกล่าวอ้างในทำนอง นี้

เนื่องจากที่ผ่านมา อย. ตรวจพบว่า มีผู้ประกอบการบางรายลักลอบใส่สาร "ไซบูทรามีน" ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนลงไปในอาหาร ซึ่งยานี้เป็นยาควบคุมพิเศษต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์และขายได้เฉพาะในสถานพยาบาล เท่านั้นจึงอาจมีอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคตับ โรคไต หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร

ถึงแม้กาแฟจะมีส่วนต่อระบบการเผา ผลาญของร่างกาย แต่หากดื่มเป็นปริมาณมากโดยคาดหวังให้ ผอม รูปร่าง อาจเกิดอันตรายได้ เพราะจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ทั้งยังไม่มีรายงานหรือผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือสนับ สนุนว่าการบริโภคกาแฟสามารถควบคุมน้ำหนักได้

อวดอ้างว่าลดความอ้วน ผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อ

นอกจากเรื่อง "ลดความอ้วน" คงเคยได้ยินสรรพคุณขั้นเทพ ที่หยิบยกกันมากกว่านั้น โดยเฉพาะผสมสารสกัดสรรพคุณความงาม อาทิ ไฟเบอร์ คอลลาเจน แอลคาร์นิทีน โครเมียม ฯลฯ ที่ต่างหยิบมาอวดอ้างสรรพคุณสร้างความน่าเชื่อถือไว้มากมาย ให้ผู้บริโภคยอมควักกระเป๋าจ่าย แม้ราคาจะสูงกว่ากาแฟทั่วไปมากก็ตาม

ในส่วนนี้จากการตรวจสอบของสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่า สารสกัดต่างๆ เหล่านั้นเป็นส่วนผสมเพียงเล็กน้อยและไม่มีข้อมูลทางวิชาการยืนยันว่ากาแฟ ที่ผสมส่วนผสมต่างๆ เช่น ไฟเบอร์ คอลลาเจน ทำให้ผู้บริโภคน้ำหนัดลดลงได้ มีผิวสวย หรือเพิ่มความงามแต่อย่างใด จึงไม่อาจกล่าวอ้างเช่นนั้นได้

หุ่นดีได้ ด้วยตัวเรา เห็นผล 100%

ออกกำลังกายสม่ำเสมอย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 วัน วันละ 20 - 30 นาที และหยุดตามใจปาก จนเป็นเรื่องคงจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด การหวังพึ่งพาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุปัญหาถึงแม้จะรับประทานผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณ ลดความอ้วนต่างๆ เข้าไป แต่ไม่ระวังในการรับประทานอาการและไม่พยายามเปลี่ยนแปลงนิสัยการบริโภคโอกาส ที่รูปร่างจะกลับมาเหมือนเก่าอีกย่อมแน่นอน

สำหรับผู้ต้องการมีรูปร่างดี ผอม เพรียว อย่างมีสุขภาพอย่าลืมรับประทานอาหารหลากหลายให้ครบ 5 หมู่ รับประทานให้ครบในปริมาณพอเหมาะรับรองช่วยได้ เพราะสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรลืมเลือน ใช่เพียง "ผอม หุ่นดี" แต่ทุกอย่างต้องมีคำว่า "เพื่อสุขภาพที่ดี" พวงท้ายเสมอ

เชื่อเถอะว่า นอกจากจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จได้ชัยชนะพิชิตความอ้วนเด็ดขาดแล้วยังช่วย พิชิตโรคภัยไข้เจ็บไม่ให้มากล้ากลาย โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินหมดเปลืองไปกับสินค้าตัวช่วยที่ไม่สามารถรู้ ได้เลยว่า "ช่วยได้จริงหรือไม่"

หากพบเห็นโฆษณาที่หลอกลวงผู้บริโภค สามารถติดต่อแจ้งเบาะแสได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โทร. 02 590 7354-55 หรือ 1556 และสามารถตรวจสอบข้อมูลอันเป็นประโยชน์ได้ที่ www.oryor.com

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=988
สีของพืชผัก-ผลไม้ ให้คุณค่าต่างกันอย่างไร



ทราบ ไหมคะว่าสารสีต่างๆ ที่มีอยู่ในพืชนั้นมีประโยชน์และมีบทบาทมากพอๆ กับวิตามินเลยทีเดียว โดยมาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชก็ได้แยกไว้อย่างคร่าวๆ พอให้เข้าใจได้ง่ายได้ดังนี้ค่ะ

สารสีแดง มีสาร Cycopene เป็นตัวพิวเม้นท์ให้สีแดงในแตงโม มะเขือเทศ สาร Betacycin ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูท และแคนเบอร์รี่ สารทั้งสองอย่างนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxydants ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งหลายชนิด

สารสีส้ม ผักและผลไม้สีส้ม เช่น มะละกอ แครอท มีสาร Betacarotene ซึ่งมีศักยภาพต้านอนุมูลอิสระอันเป็นตัวก่อมะเม็ง คนผิวขาวซีดที่กินมะละกอหรือแครอทมาก ผิวจะออกสีเหลืองสวย ทางกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาประกาศว่า การกินแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือด คนไทยที่ทดลองกินมะละกอห่ามมากๆ นานถึง 2 ปี จะช่วยเปลี่ยนสีผิวหน้าที่เป็นฝ้าให้หายได้โดยไม่ต้องพึ่งครีมแก้ฝ้าเลย

สารสีเหลือง พิกเม้นต์ Lutein คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็น

สารสีเขียว
พิกเม้นต์คลอโรฟีลล์ (Chlorophyll ) เป็นสารที่ให้สีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวเข้มมากก็ยิ่งมีคลอโรฟีลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู บัวบก เป็นต้น และสารคลอโรฟีลล์ ก็มีคุณค่ามากเหลือเกิน นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเมื่อคลอโรฟีลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังแรงมากในการป้องกันมะเร็ง ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆ ในตัวคนด้วย

สารสีม่วง พืชสีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) เป็นต้นให้สีม่วงที่คุณเห็นในดอกอัญชัน กะหล่ำม่วงผิวชมพู่มะเหมี่ยว มะเขือม่วง แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารตัวนี้ช่วยลบล้างสารที่ก่อมะเร็งและสาร Anthocyanin นี้ยังออกฤทธิ์ทางขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตด้วย

http://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=1029
อิ่มบุญ...อิ่มเจ หลากเมนู


ถึง เวลาเทศกาลกินเจที่จะเริ่มต้นขึ้นระหว่างวันที่ 18-26 ต.ค.นี้ แม่พลอย ขอแนะนำร้านอาหารเจ น่าชวนชิม ในเมนูที่แตกต่างกันไป ให้เป็นทางเลือกหนึ่งให้คนทานเจและกลุ่มคนที่ตั้งใจจะทานเจให้ได้สักครั้ง หนึ่งของชีวิต

ร้านหยู่อี่เจ เป็นร้านอาหารเจ ร้านแรกที่อยากแนะนำ ร้านนี้ บรรยากาศเป็นกันเอง โต๊ะนั่งทานมีไม่มาก ไม่อยากนั่งรอคิวนานแนะนำซื้อกลับมาทานที่บ้านจะดีที่สุด คัดเอาเมนูเจเด่นที่มีคนทานกันมากมี หูฉลาม ใช้วุ้นเส้นจากถั่วเหลือง เส้นใสแทนหูฉลาม มีปูอัดเจ แฮมเจ เห็ดหอม เห็ดเข็มทองใส่มาเพียบ เด่นตรงน้ำซุปหวานน้ำผัก ยิ่งเติมจิ๊กโฉ่เพิ่มรสเข้าไป รสชาติไม่ต่างจากซุปหูฉลามของแท้เลย เป๋าฮื้อยอดผัก ใช้หัวบุกแทนเป๋าฮื้อหนึบ ๆ ทานกับ เห็ดหอมกับยอดผักคะน้าฮ่องกงกรอบ ๆ ถูกปาก

เมนูขาหมูรมควันเย็น ขาหมูเจมีขอบด้านนอกเป็นแผ่นเต้าหู้บาง ๆ พันหัวบุกไว้ ด้านในสุดเป็นถั่วเหลือง ทานแบบเปล่า ๆ ได้กลิ่นแฮมขึ้นจมูกชัดเจน หากรสลิ้นชอบรสชาติจัด แนะนำ ห่อหมกมะพร้าวอ่อน เสิร์ฟมาทั้งลูก ข้างในมีกุ้งเจ เนื้อไก่เจ เต้าหู้ ผักกาดขาว เห็ดฟางและกะหล่ำปลี ปรุงรสเครื่องแกงห่อหมกรสชาติกลมกล่อม ลาบเป็ดปักกิ่ง ถูกปากไม่น้อย ใช้โปรตีนเกษตรและหมี่กึนหรืออาหารที่ทำมาจากแป้งสาลีแปลงให้มีหน้าตาและรส ชาติคล้ายเนื้อสัตว์ ต่าง ๆ ลาบเป็ดเจนี้คลุกเคล้าเครื่องลาบได้ถึงใจแท้

ร้าน หยู่อี่เจ หรือร้านหรูยี่ ร้านอาหารเจที่เป็นตึกแถวคูหาเดียว ในซอยพระยาสิงห์เสนีย์ ตรงข้ามกับโรงแรมบางกอกเซ็นเตอร์ ย่านหัวลำโพง เจอสี่แยกหัวลำโพงเลี้ยวรถกลับมาเห็นเครื่องหมายธนาคารกรุงเทพ เตรียมเลี้ยวเข้าซอย ร้านอยู่ซ้ายมือ ถ้าเอารถส่วนตัวไปหาที่จอดยากมาก ดังนั้นควรใช้บริการรถสาธารณะดีที่สุด ร้านนี้เปิดบริการตั้งแต่ 09.00-22.00 น. สอบถามรายละเอียดที่หมายเลข 0-2219-1721และ 08-6068-9384

ชิจูย่า อาหารเจในแบบอาหารญี่ปุ่น อยู่บนชั้น 2 อาคารฟิฟตี้ ฟิฟท์ พลาซ่า ทองหล่อ 2 ซอยสุขุมวิท 55 ขอแนะนำ ซูชิเผือกเจ หน้าตาดีมาก ใช้เผือกบดแทนข้าวญี่ปุ่น สอดไส้สาหร่าย แตงกวา แฮมเจไว้ เนื้อเผือกนุ่มเนียนลิ้นและได้ความกรอบสดของผักเข้ารสกับสลัดครีมเจ ส่วน ปูอัดเจเทมากิเจ รสเด่นตั้งแต่สาหร่ายพันห่อปูอัดเจ กะหล่ำปลีหั่นฝอยมีสลัดครีมราดบาง ๆ เคี้ยวกรุบ กรอบรสอร่อยถูกปาก ลูกชิ้นชิจูย่า ใช้มันบดและเห็ดเข็มทองทำเป็นตัวลูกชิ้นออกแนวหนึบ ๆ และกรุบกรอบของอัลมอนด์ที่เคลือบด้านนอก ทานกับน้ำจิ้มบ๊วย ส่วน ปลาไหลเจโกโบ้ ใช้เนื้อปลาไหลเจ จานนี้หอมกลิ่นน้ำมันงา อยากสัมผัสรสชาติอาหารเจในแบบอาหารญี่ปุ่น ที่เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 11.30-14.30 น. และ 17.30-21.30 น. ลองโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2392-1877 และ 0-2714-9504

ในย่านศรีนครินทร์ แม่พลอยอยากแนะนำ ร้าน กรีน คิทเช่น อยู่ในโครงการเดลี่เลน ศรีนครินทร์ หลัง ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ซอยเสรีวิลล่า แยก 2 ร้านนี้ตามจริงเปิดขายอาหารสุขภาพ ตั้งแต่เวลา 10.00-19.30 น. และหยุดทุกวันจันทร์ เมื่อถึงเทศกาลกินเจ มีเมนูเจหลากหลายเมนูไว้บริการ อย่าง กวยจั๊บน้ำข้น น้ำซุปหอมหวาน ด้วยน้ำซุปที่ได้จากผักพวกแครอท หัวไชโป๊และเครื่องยาจีนตุ๋นเห็ดหอม มีฟองเต้าหู้ที่จับม้วนกลม เส้นกวยจั๊บนุ่มอร่อย แถมมีความกรุบกรอบเคี้ยวเพลินของโปรตีนเกษตรเป็นตัวช่วยเสริมรสชาติให้ เคี้ยวกรอบ ๆ เพลิน ๆ

ก๋วยเตี๋ยวหลอด มีเส้นก๋วยเตี๋ยวห่อเห็ดฟาง เห็ดหอม เต้าหู้ ผักกวางตุ้งไต้หวันเป็นไส้ใน เด่นตรงผักนั้น ออกรสหวานกรอบถูกใจ ซุปเยื่อไผ่น้ำแดง ซดแล้วคล่องคอ มีทั้งเยื่อไผ่และน้ำซุปที่ได้มาจากรสชาติของเห็ดและผัก หวานกลมกล่อม อยากทานเมนูเจแบบ น้ำตกหมูย่างเจ ถึงจะใช้เนื้อหมูเจ แต่ปรุงได้รสชาติกลมกล่อมถูกลิ้น ส่วน ยำเห็ดสามอย่าง นี่ได้ใจไปเลย มีเห็ดฟาง เห็ดเข็มทองและเห็ดหอมยำเข้ารสน้ำยำเปรี้ยวกลมกล่อม ใครชอบ เกี้ยมไฉ่น้ำมันงา อย่าพลาด เพราะปรุงได้รสชาติดี เกี้ยมไฉ่เปรี้ยวกรอบ หอมน้ำมันงา อยากตามหาความอร่อยร้านนี้ลองโทรฯสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-1685-1700, 08-9208-4226

ชอบทานอาหารแนวฟิวชั่น ฟู้ดแนะนำให้ลองเข้าไปสัมผัสกับอาหารเจในแนวฟิวชั่นได้ที่ร้าน บั๊กแอนด์บี ตอนนี้มีหลากเมนูมาบริการเหมือนกันที่แม่พลอยอยากแนะนำมี เมี่ยงดอกขจรและดอกผักปลัง มีทั้งมะพร้าวคั่ว มะนาวหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ถั่วลิสง พริกราดด้วยน้ำซอสเมี่ยงเจเสิร์ฟมาในใบชะพลูรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ข้าวนึ่งหัวปลีกับดอกผักปลังผัดพริกไทยดำ ความอร่อยอยู่ที่ตัวข้าวกล้องอบกับเผือก ลูกบัว โรยหน้าด้วยหัวปลีอ่อนทอดกรอบอีกที ข้าวกล้องนุ่มหอมมัน ทานกับดอกผักปลัง ผัดซอสพริกไทยดำได้รสเผ็ดร้อนพริกไทย พาสต้ามันฝรั่งบดในซอส สไปซี่โอลีฟโทเมโท ตัวพาสต้าเด้งดึ๋งในปากได้รสชาติออกเผ็ดของซอส สนใจอยากนั่งทานเจแบบ 24 ชั่วโมง ที่บั๊กแอนด์ บี ลองโทรฯสอบถามได้ที่ 0-2233-8118

ส่งท้ายด้วยการเอาใจนักชิมขาช้อปที่ชอบเดินห้างสรรพ สินค้าและอยากหาอาหารเจทาน แม่พลอย แนะนำเมนูเจเด่นของงาน 10 ปี อาหารเจทั่วทิศ กุศลจิตทั่วไทยสายสัมพันธ์ วัฒนธรรมไทย-จีน ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่งานนี้สรรหาอาหารเจจากทั่วทุกสารทิศมาให้ชิมกันทั้งที่ อีเว้นท์ ฮอลล์ ฟู้ดฮอลล์ โฮม เฟรช มาร์ท เดอะมอลล์ ทุกสาขา และมาร์เก็ต ฮอลล์ ฟู้ด ฮอลล์ กูร์เมต์ มาร์เกต ดิ เอ็มโพเรียมและพารากอน

เมนูเด่นที่ ต้องลองยกให้ เห็ดหิมะทอด เนื้อเห็ดหนึบ ๆ ไม่เหนียว หอมและถึงรสชาติของซีอิ๊วขาวที่ซึมเข้าเนื้อเห็ดทานเปล่าก็ได้หรือจะใช้จิ้ม กับน้ำพริกเจก็ได้ กะหล่ำปลีทอดซีอิ๊ว มีทั้งฟองเต้าหู้ทอดและเต้าหู้ทอดใส่รวมลงไป กะหล่ำปลีเนื้อนุ่มหอม ออกมันนิด เค็มหน่อย บัควีทผัดเห็ดรวม ตัวเส้นบัควีทผัดเข้าเนื้อกับซีอิ๊วขาวเห็ดหอมได้นุ่มเหนียวพอดี ยิ่งมีเห็ดเข็มทอง เห็ดนางฟ้า เห็ดออรินจิ เห็ดหอม และเต้าหู้ผัดรวมมาด้วย เส้นบัควีทและเห็ดกรึบ ๆ หนึบ ๆ อยากทานซุป มีซุปข้าวโพดแปะก๊วยเจ รสชาติหอมมันกลมกล่อม

เทศกาลกินเจปีนี้ ขอให้ทุกท่านที่ตั้งใจทานเจสร้างกุศล มีความสุขทั้งทางกายและทางใจค่ะ.

เรื่อง : แม่พลอย/ภาพ : กมล กำแหง/แม่พลอย

Dailynewshttp://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=1032

ถั่วเน่า ภูมิปัญญาของคนไทยเมืองเหนือ

“ถั่วเน่า” เป็นอาหารที่ชาวบ้านทางภาคเหนือตอนบนของไทยนิยมรับประทานในครัวเรือนและทำ เป็นผลิตภัณฑ์จำหน่ายตามท้องตลาด ถั่วเน่าจัดเป็นแหล่งอาหารโปรตีนสำคัญชนิดหนึ่งและเป็นการถนอมอาหารให้มี อายุการเก็บยาวนานขึ้น “ถั่วเน่า” เป็นอาหารหมักจากถั่วเหลือง มีลักษณะคล้ายนัตโต (Natto) ของประเทศญี่ปุ่น ใช้เป็นเครื่องปรุงรสแทนกะปิ ส่วนใหญ่ใช้เติมในซุปผัก หรือนำมาห่อในใบตอง นึ่งหรือปิ้งพอสุกรับประทานกับข้าวเหนียวและถั่วเน่ายังใช้ในอาหาร มังสวิรัติ เพื่อเพิ่มรสชาติอาหารให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น

มีตำนานเล่าขานกันว่าในสมัยก่อนถั่วเน่าเป็นของบรรณาการอันมีค่า ซึ่งพญาละคอน (เจ้าเมืองลำปาง) นำถั่วเน่าถวายเป็นบรรณาการแก่พญาแม่กุแห่งเมืองนพบุรีเชียงใหม่ เมืองละครจึงรอดพ้นจากการโจมตีจากทัพเชียงใหม่ ถั่วเน่าเป็นวัฒนธรรมทางด้านอาหารของกลุ่มคนไท ได้แก่ ไทใหญ่ เขิน โยน ยอง ประเทศเพื่อนบ้านของไทยคือประเทศพม่ามีกลุ่มคนไทอาศัยอยู่จึงมีถั่วเน่าเป็น อาหารพื้นบ้านเหมือนประเทศไทยแต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดยถั่วเน่าของพม่ามีลักษณะเป็นแผ่นใส่พริกป่นเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนให้ ผลิตภัณฑ์ ภาษาพม่าเรียกถั่วเน่าว่า “แบโบ๊ะ” ส่วนชาวไทใหญ่เรียกถั่วเน่าว่า “ถั่วเน่าขั้ว” ออกเสียงว่า “โถ่เน่าโข้” ไทใหญ่นำถั่วเน่าไปประกอบเป็นอาหารแทบทุกชนิด เช่น การผัดถั่วเน่ากับเนื้อไก่หรือเนื้อหมู

ถั่วเน่ามีวิธีการ ทำไม่ยุ่งยาก เริ่มจากคัดเลือกเมล็ดถั่วเหลือง แยกสิ่งสกปรกและเมล็ดถั่วที่เสียออก ล้างน้ำทำความสะอาด แช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน แล้วนำไปต้มจนเมล็ดถั่วเหลืองอ่อนนุ่มประมาณ 6 ชั่วโมง ทิ้งไว้ให้เย็นผสมกับเครื่องปรุงรสที่บดแล้วซึ่งประกอบด้วย เกลือแกง พริกแห้ง และหอมแดง จากนั้นนำไปบรรจุลงในตะกร้าที่รองด้วยใบตองเหียง (ภาษาเหนือเป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งใบมีขนาดใหญ่และท้องใบมีขน) เพื่อไม่ให้เมล็ดถั่วเกาะติดตะกร้า ใส่เมล็ดถั่วเหลืองลงไปประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของตะกร้าปิดด้วยใบตองหียงให้มิดชิด ใช้ไม้ไผ่ปิดขวางปากตะกร้าให้แน่น นำตะกร้าวางไว้ในที่ร่มและมีอากาศถ่ายเทได้สะดวกเป็นเวลา 3 – 4 วัน ถั่วเหลืองเมื่อหมักได้ที่จะมีลักษณะเป็นฝ้าสีขาวรอบเมล็ดเกิดจากเชื้อ แบคทีเรียชนิดหนึ่ง และมีกลิ่นค่อนข้างฉุน ถ้าถั่วมีฝ้าสีดำให้ตักส่วนนั้นทิ้งไป ถั่วหมักที่ยังไม่มีลักษณะดังกล่าวให้หมักต่อไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวต้องใช้เวลาหมักมากขึ้น หลังจากปฏิกิริยาการหมักสมบูรณ์ได้ถั่วเน่าที่มีกลิ่นและรสชาติดีแล้ว สามารถเก็บแบบแช่เยือกแข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -18 องศาเซลเซียส ได้เป็นระยะเวลา 12 เดือน ถึง 18 เดือน ส่วนการทำถั่วเน่าแผ่นเป็นการลดปริมาณน้ำให้น้องลงช่วยยืดอายุการเก็บได้ ระดับหนึ่ง

ถั่วเน่าที่ได้ชาว บ้านจะนำมาตำในครกให้ละเอียด แล้วทำให้เป็นแผ่นบางๆ หนา 2 – 3 มิลลิเมตร ขนาดกว้างประมาณ 3 – 4 นิ้ว ซึ่งทำให้เป็นแผ่นบางได้โดยใช้ใบผาแป้ง (ใบไม้ชนิดหนึ่ง ขนาดฝ่ามือและมีขน) จำนวนสองใบมาประกบกันบีบให้ถั่วเป็นแผ่นบางกลมตามต้องการ นำไปตากแดดให้แห้ง จะได้แผ่นถั่วที่แข็งมีสีน้ำตาลค่อนข้างดำ แล้วบรรจุใส่ภาชนะสะอาดเก็บไว้ได้นาน ชาวบ้านนิยมนำถั่วเน่าแผ่นมาปิ้งหรือทอดน้ำมันจนเหลืองมีกลิ่นหอม ถ้าชอบรสเค็มให้เติมเกลือลงไป หรือนำถัวเน่าย่างไฟให้ร้อนพอสุกและผสมรวมกับน้ำพริกหนุ่มหรือ พริกแกง ทำให้รสชาติอาหารดีขึ้น อาหารเหนืออีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานกันโดยการนำถั่วเน่าผัดกับไข่โรย ด้วยพริกและหัวหอมซอย นอกจากการทำถั่วเน่าแผ่นแล้ว ยังทำถั่วเน่าห่อได้ด้วย โดยนำมาห่อด้วยใบตองกล้วยนำไปนึ่ง หรือทำเป็นแท่งเล็กยาวคล้ายขนมจากนำไปปิ้งไฟให้แห้ง ถั่วเน่าที่ได้จะมีกลิ่นหอมและมีอายุการเก็บหลายวัน แต่ไม่นานเท่าชนิดแผ่น

การผลิตถั่วเน่า เป็นการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นมาจนถึงปัจจุบัน วิธีการทำถั่วเน่ายังไม่ได้เขียนเป็นตำราไว้สอนลูกหลานในโรงเรียนหรือผู้ที่ สนใจ แต่วิธีการทำถั่วเน่า เป็นเทคนิคที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่ชุมชนอย่างต่อเนื่องหลายชั่วอายุคนและ นับวันจะสูญหายไปเนื่องจากกระแสบริโภคนิยม ถั่วเน่าจึงเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ควรอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่กับท้องถิ่นสืบ ไปเพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง

ที่มา
สำนักเทคโนโลยีชุมชน
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

http://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=1048

ทานไอศกรีมมื้อเที่ยงไม่อ้วนอย่างที่คิด

ทานไอศครีมแทนมื้อเที่ยงช่วยลดความอ้วนได้

สาว ๆ ที่กลัวอ้วนเพราะทานไอศกรีมนั้น อาจจะต้องดีใจกับข่าวนี้แน่ ๆ ซึ่งป็นข้อมูลจากจากอิตาลี ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องไอศกรีมโฮมเมดว่า การทานไอศกรีมนั้นดีกว่าไปทานมื้อเที่ยงเป็นไหนๆ เพราะย่อยง่าย และทำให้สดชื่นพร้อมลุยงานต่อในช่วงบ่าย

โดย
เฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครอยากลดความอ้วนละก็

แนะนำให้ กินไอศกรีมผลไม้แทนมื้อเที่ยงสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ ง ข้อดีต่อไปคือ ไอศกรีมเชอร์เบตดับกระหายได้ดีกว่า น้ำในหน้าร้อน เพราะมีน้ำซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ร้อยละ 65-70 แถมมีแคลอรีน้อยกว่าน้ำอัดลมด้วย

ประการสุดท้าย

ไอศกรีมนั้นเปรียบได้กับดนตรี เพราะสถานบันจิตวิทยาในลอนดอนบอกว่า ไอศกรีมช่วยลดความเครียดได้ ประหนึ่งดนตรีที่ช่วยลดอุณหภูมิและทำให้เคลิบเคลิ้ม รู้อย่างนี้แล้วจะได้ลิ้มรสไอศกรีมกันอย่างเต็ม ที่โดยไม่ต้องกลัวอ้วนกันเสียที.http://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=939

เผย 10 วิธี "กินให้มีสุขยุคอาหารแพง"

กรมอนามัย เผย 10 วิธีกินให้มีสุขยุคอาหารแพง พร้อมลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ และเพิ่มคุณค่าทางโภชาการในแต่ละมื้อ หวังสร้างสุขภาพดี ลดปัญหาโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอ้วน

นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงวิธีการกินอย่างมีสุขภาพดีในยุคอาหารแพงว่าปัจจุบันการดำเนิน ชีวิต และการดูแลสุขภาพจำเป็นต้องยึดหลักความเหมาะสม และพอเพียง โดยเฉพาะปัญหาด้านสาธารณสุขที่เกิดจากการกินอาหาร ในปริมาณมากเกินไป ไม่ถูกหลักโภชนาการ ส่งผลให้เกิดภาวะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคอ้วนลงพุงตามมา ซึ่งเป็นปัญหาที่กรมอนามัยจำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะคนที่อ้วนลงพุงเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนไม่อ้วนลงพุง 3 เท่า มีความดันโลหิตสูงและไขมันคอเรสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันตัวร้ายมากกว่า 2 เท่าตัว และคนอ้วนลงพุงจะเสียชีวิตจากโรคหัวใจวาย มากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่าตัว

นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า เพื่อลดปัญหาและสร้างสุขภาพดีให้กับตนเอง ประชาชนจึงควรนำหลักพอเพียงมาใช้ในการกินอาหารแต่ละมื้อด้วย โดยกินเพื่อให้ได้สารอาหาร และพลังงานที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน หากรู้สึกอิ่มให้ลด หรืองดการกินเพราะความอยาก ความอร่อย กินอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ไม่กินแล้วทำร้ายร่างกาย เช่น กินมากไป น้อยไป หรือกินอาหารรสหวาน เค็ม มันมากไป หรือสร้างพฤติกรรมการกินอย่างง่ายภายใต้หลัก 10 วิธีกินในยุคอาหารแพง ได้แก่

1) กินพออิ่มในแต่ละมื้อ โดยตักอาหารกะปริมาณพอดี เช่น ตักข้าวสวย 1-2 ทัพพี ผัก 4-6 ช้อนกินข้าว เนื้อสัตว์ 2-3 ช้อนกินข้าว แล้วตามด้วยผลไม้ 1-2 ส่วน ตามด้วยน้ำสะอาด 1-2 แก้ว ก็เพียงพอ

2) ดัดแปลงอาหารที่เหลือเป็นอาหารจานใหม่ เช่น ผัดคะน้า นำมาต้มจับฉ่ายผสมกับผักอื่น ๆ น้ำแกงส้มที่เหลือสามารถเติมถั่วฝักยาวมะละกอ แครอท ผักบุ้ง ส่วนผลไม้ที่เหลือหลายชนิดนำมาทำเป็นสลัดผลไม้ หรือ ปลาทูที่เหลือนำมาตำน้ำพริกปลาทูกินกับผักสด ผักลวกต่าง ๆ ทำให้ได้อาหารจานใหม่ และใช้ประโยชน์จากอาหารได้คุ้มค่าไม่มีอาหารเหลือทิ้ง

3) ทำอาหารปริมาณมากกินได้หลายมื้อ เช่น ต้มไข้พะโล้หนึ่งหม้อกินได้ทั้งวัน อาจเติมหน่อไม้จีนหรือผักอื่น ลงไปด้วยหรือกินร่วมกับผักสด เช่น แตงกวา ผักกาดหอมหรือผักกาดขาวหรือคะน้าลวก

4) หุงข้าวผสมข้าวโพด ถั่ว เผือก มัน ใส่เพื่อเพิ่มวิตามิน และยังได้สารอาหารอื่น ๆ เพิ่มด้วย และตอนนี้ข้าวราคาแพงจึงใส่ข้าวโพด ถั่ว เผือก มัน เสริมเข้าไปในข้าว จะทำให้ใช้ข้าวในปริมาณน้อยลงด้วย

5) ปรับเมนูอาหารคุณภาพดีราคาถูก เช่น ไข่พะโล้ เพราะปกติใส่หมูกับไข่เท่านั้น ก็เปลี่ยนจากหมูมาเป็นเต้าหู้แทนก็ได้

6) ลดการกินจุบกินจิบ กินอาหารหลัก 3 มื้อก็เพียงพอแล้ว อาหารว่างเป็นผลไม้หรือนม

7) งดการกินอาหารมื้อดึก เพราะถ้ากินอาหารมื้อดึกเข้าไปแล้ว ในช่วงเวลานั้นไม่มีการออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายใด ๆ มีแต่การนอนทำให้ร่างกายเผาผลาญอาหารที่กินไปน้อยมาก และจะสะสมเป็นไขมันแทนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได

8) เคี้ยวอาหารช้าๆ อย่ารีบร้อน ซึ่งจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่า เพราะร่างกายคนเราจะเริ่มรู้สึกอิ่มเมื่อกินอาหารไปประมาณ 20 นาที

9) ไม่กินทิ้งขว้าง เพราะปัจจุบันอาหารเกือบทุกชนิดมีราคาสูง และ

10) เน้นกินอาหารไทย เช่น ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน แทนอาหารจานด่วนตะวันตก นอกจากราคาถูกกว่าแล้วยังให้สารอาหารครบถ้วน และสมดุล” นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว

อธิบดีกรมอนามัย กล่าวด้วยว่า
สิ่ง สำคัญสำหรับการกินอาหารให้ได้คุณค่าโภชนาการคือควรกินอาหาร ในแต่ละมื้อให้ครบ 5 หมู่ คือ อาหารประเภทแป้ง ไขมัน เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ที่ให้วิตามิน และแร่ธาตุ สำหรับประเภทเนื้อสัตว์นั้น จะเน้นให้กินปลา เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วประเภทต่าง ๆ และเมล็ดธัญพืชเป็นประจำ

นอกจากอาหารหลัก 5 หมู่แล้ว ควรได้รับอาหารประเภทเมนูชูสุขภาพใน 4 กลุ่ม คือ กลุ่มอาหารที่ให้ใยอาหารสูงเพื่อช่วยให้การขับถ่ายสะดวกขึ้น อาหารที่อยู่ในกลุ่มวิตามินเอ และธาตุเหล็กสูง เพื่อช่วยเพิ่มความต้านทานโรคทำให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยการเจริญเติบโตของเด็ก อาหารในกลุ่มแคลเซียมเพื่อป้องกัน โรคกระดูกเปราะบาง และกลุ่มอาหารที่มีไขมันต่ำ ประชาชนผู้บริโภคจีงควรตระหนัก และรู้จักเลือกกินอาหาร ที่เหมาะสมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองhttp://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=941
พริกยัดไส้ (Kochu-jang)



ส่วนผสม

พริกชี้ฟ้าสีเขียว 8 เม็ด
เนื้อวัวไม่ติดมันสับ (เนื้อวัวส่วนสะโพก) 120 กรัม
ซีอิ๊วเกาหลีหรือญี่ปุ่น 2 ช้อนชา
กระเทียมสับ 2 ช้อนชา
ต้นหอมซอย 1 ต้น
งาเกลือ 1 ช้อนชา
พริกไทยดำบดใหม่ๆ 1 ช้อนชา
น้ำมันงา 2 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/4 ถ้วย
ไข่ไก่ตีพอแตก 1 ฟอง
วิธีทำ
1. ล้างพริกชี้ฟ้าให้สะอาด ผ่าครึ่งตามยาว เอาไส้และเมล็ดออก ใส่จานพักไว้
2. ทำไส้โดยใส่เนื้อวัวสับลงในถ้วย ใส่ซีอิ๊วเกาหลีหรือญี่ปุ่น กระเทียม ต้นหอม งาเกลือ พริกไทย และน้ำมันงา คลุกเคล้าให้เข้ากันทั่ว เตรียมไว้
3. ยัดไส้ที่ทำใส่พริกชี้ฟ้าที่เตรียมไว้จนเต็มและพูนเล็กน้อย ทำจนหมด เรียงใส่จาน เตรียมไว้
4. ตั้งกระทะก้นตื้นบนไฟกลาง ใส่น้ำมันพอร้อน คลุกพริกยัดไส้กับแป้งสาลีให้ทั่วแล้วชุบไข่ให้ทั่ว จากนั้นใส่ลงทอดในกระทะจนสุกเหลืองทั่ว ตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน ทอดจนหมด ปิดไฟ
5. จัดใส่จานหรือถ้วย เสิร์ฟ


วิธีทำ งาเกลือ (Sesame Salt)
ผสมงาขาวคั่ว บุบพอแตก 1/4 ถ้วย กับเกลือป่น 1/4 ช้อนชา งาเก็บในตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาเพื่อคงความสดใหม่และกลิ่นหอม


เคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ
ใช้ พริกชี้ฟ้าสีเขียวแทนพริกสีเขียวเกาหลี วิธีการยัดไส้ทำได้โดยผ่าครึ่งตามยาวหรือตัดตรงขั้ว แล้วเอาไส้ออกและเมล็ดพริกออกจนหมด เนื้อพริกมีรสไม่เผ็ดมากhttp://www.horapa.com/content.php?Category=Korean&No=1045
เมเปิ้ลวอลนัทไอศกรีม



ส่วนผสม

เมเปิ้ลไซรัป 1 ถ้วย
วิปปิ้งครีม 2 ถ้วย
เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
ไข่ไก่ (ขนาดใหญ่) 2 ฟอง
นมสด 1 ถ้วย
วอลนัทอบ สับละเอียด 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
1. ต้มเมเปิ้ลไซรัปด้วยไฟปานกลางนานประมาณ 5-10 นาที จนงวดลงเหลือ 3/4 ถ้วย
2. เติมวิปปิ้งครีม นมสด และเกลือป่น เคี่ยวต่อด้วยไฟปานกลาง ยกลงพักไว้ให้เย็น
3. ตีไข่ไก่ด้วยตะกร้อมือพอแตก เติมส่วนผสมครีมลงในไข่ไก่ ตีให้เข้ากันดี แล้วจึงเทใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟอ่อนนานประมาณ 1-2 นาที หมั่นคน ระวังอย่าให้ส่วนผสมเดือด
4. กรองส่วนผสมที่ได้ด้วยกระชอนถี่ พักไว้ให้เย็นสนิท เทใส่กล่องปิดฝาบ่มไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
5. ปั่นส่วนผสมด้วยเครื่องปั่นไอศกรีมจนเริ่มแข็งตัว เติมถั่ววอลนัท ปั่นให้แข็งตัวได้ที่ เทใส่กล่องแช่ในตู้แช่ไอศกรีมจนกระทั่งแข็ง

ที่มา:: ครัวบ้านและสวน
http://www.horapa.com/content.php?Category=Icecream&No=745

บุฟเฟต์ซีฟู้ดฮ่องเต้..อิ่มอร่อยไม่จำกัด ที่ใบหยกสกาย

ยก ซีฟู้ดมาไว้กลางกรุง กับบรรยากาศสุดโรแมนติก ดื่มด่ำกับกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน กับ “บุฟเฟต์ซีฟู้ดฮ่องเต้..อิ่มอร่อยไม่จำกัด” ใครที่ชอบทานอาหรทะเลไม่ควรพลาดกับเมนู “ซีฟู้ดฮ่องเต้” หม้อไฟที่เสิร์ฟร้อนๆทุกโต๊ะ พร้อมซีฟู้ดสดจากทะเลทั้ง กุ้ง หอย ปู และปลา พร้อมผักสดนานาชนิด น้ำซุปของที่นี่ใช้เวลาเคี่ยวนาน 5 – 6 ชั่วโมง แอบถามเชฟถึงส่วนผสมของน้ำซุป เชฟวิชัยใจดี บอกโดยไม่หวงความรู้ “น้ำซุปต้องเคี่ยวนาน 5-6 ชั่วโมง ส่วนผสมที่นำไปเคี่ยวก็คือ ขาหมูแฮมยูนาน ไก่แก่ กระดูกและเนื้อหมู” รับรองได้เลยค่ะว่าอร่อยจริงๆ

อาหารคาวของที่นี่มีหลากหลายชนิด ให้เลือกรับประทาน ทั้งอาหารจีนและนานาชาติ เมนูแนะนำนอกจากซีฟู้ดฮ่องเต้แล้ว ยังมี กุ้งนึ่งกระเทียม ซุปหูฉลามทรงเครื่อง หมูหันฮ่องกง (เลาะกระดูกออกล้วหมักด้านในหมู เวลาทานจะมีทั้งเนื้อและหนัง) เป็ดปักกิ่ง เป็ดผัดโหงวก๊วย ขนมจีบ ซาลาเปา ซูชิ ซาซิมิ ฟองเต้าหู้สอดไส้กุ้ง ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ ปลากะพงทอดซอส 3 รส กุ้งผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ไก่ผัดแห้ง และอาหารนานาชาติอีกกว่า 50 รายการ ส่วนอาหารหวานก็มีให้เลือกหลากหลายเช่นกัน เริ่มกันที่ขนมไทยๆ วุ้น ทองหยิบ ข้าวเหนียวสังขยา หว่อแป๋ง (พุทราจีน) คัสตาร์ด เค้กหลายๆชนิด ผลไม้และไอศกรีม และที่ต้องทานให้ได้เลยก็คือ สาคูแคนตาลูป เม็ดสาคูสีเขียวใบเตย กับแคนตาลูปแคะก้อนกลมเล็กๆ แช่เย็น ทานกับน้ำแข็งกะทิ (นำกะทิไปทำน้ำแข็งเกล็ด) กลิ่นหอมของน้ำดอกมะลิในน้ำแข็งกะทิ ได้ทานแล้วรู้สึกสดชื่น

บรรยากาศ ที่ดูเป็นกันเอง พนักงานที่คอยให้บริการได้อย่างไม่บกพร่อง เชฟวิชัยคอยดูแลเรื่องอาหารตลอดเวลา สามารถสอบถามข้อมูลอาหารจากเชฟได้ รับรองได้ค่ะว่าจะได้ข้อมูลของอาหารใหม่ๆหรือวิธีปรุงอาหารจีนที่ถูกต้องอีก ด้วยค่ะ

ทั้งหมดในราคาสุดคุ้มทุกวันมื้อค่ำ เวลา 18.00 – 23.00 น. เพียงทานละ 520 บาทสุทธิ และพิเศษ ทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ เพิ่มมื้อกลางวัน เวลา 11.00 -15.00 น. เพียงท่านละ 400 บาทสุทธิ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆในวันสำคัญๆ เช่น วันพ่อ วันวาเลนไทน์ และอื่นๆอีกมากมาย

หรือเพิ่มบรรยากาศความเป็นส่วนตัว พร้อมห้อง V.I.P. และคาราโอเกะ ด้วยบริการอาหารจีนแบบ A la carte และเซ็ทโต๊ะจีน ให้ท่านเลือกลิ้มลองกว่า 100 เมนู อาทิ ล็อบสเตอร์ซาซิมิ สลัดกุ้งมังกร พระกระโดดกำแพง ก้ามปูสดนึ่งซีอิ๊ว ซุปกังป๋วยรวมมิตรทะเล ข้าวอบสเตลล่า เป๋าฮื้อเจี๋ยนน้ำมันหอย กุ้งกระจกผัดเม็ดสนจีน ปูนิ่มซอสเอ็กซ์.โอ ฯลฯ และพิเศษสุด “ติ่มซำฮ่องเต้” ติ่มซำสอดไส้เป๋าฮื้อ หูฉลาม และหอยเชลล์ เมนูสุดหรู เอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเชฟวิชัย สุขขี เชฟประจำ “ภัตตาคารสเตลล่า พาเลซ” เท่านั้น ซึ่งเชฟวิชัย มีประสบการณ์ด้านการปรุงอาหารจีนมากว่า 40 ปี

บริการพิเศษลูกค้าทุกท่านชมวิวฟรี บนหอชมวิว ชั้น 77 และดาดฟ้าพื้นหมุน ชั้น 84 ได้อย่างทั่วถึง 360 องศา แบบ Open-air โดยไม่มีกระจกมาขวางกั้น

สำรองที่นั่งล่วงหน้า โทร. 0-2656-3000 , 0-2656-3456 กด 4 หรือ www.baiyokehotel.com


หนังเป็ดปักกิ่ง เวลาทานห่อด้วยแป้ง และต้นหอม แตงกวา


บรรยากาศบุฟเฟต์


หูฉลาม


เครื่องสำหรับซีฟูดฮ่องเต้


กุ้งนึ่งกระเทียม


กุ้งห่อฟองเต้าหู้ทอด


ซุปซีฟูดฮ่องเต้


หมูหัน

http://www.horapa.com/content.php?Category=Restaurant&No=879



ต้มจืดสีรุ้ง 1 ขวบครึ่ง++

เนื้อปลากะพงแร่ตามยาว 10 ชิ้น
ปีกไก่ 5 ปีก
แครอท หั่นเป็นท่อนพอดีคำ 1/2 ถ้วย
ซูกินี่ ไม่ต้องปอกเปลือกหั่นพอดีคำ 1/2 ถ้วย
ฟักทองหั่นพอดีคำ 1/2 ถ้วย
ก้านขึ้นฉ่ายลวก 10 ก้าน
กระเทียม พริกไทย รากผักชี โขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. นำปลากะพงมาล้างให้สะอาดแล้วซับให้แห้งก่อนวางแครอท ซูกินี่บนชิ้นปลาแล้วม้วนเข้าด้วยกัน ผูกด้วยก้านขึ้นฉ่ายลวกแล้วพักไว้
2. ตั้งน้ำครึ่งหม้อใส่กระเทียมพริกไทยรากผักชีโขลกที่เตรียมไว้ ตามด้วยปีกไก่ ปลาม้วน เมื่อน้ำเดือดแล้วจึงใส่ฟักทองหรือผักอื่นๆ ที่เตรียมไว้ ปรุงรสได้ตามใจชอบ เสิร์ฟร้อนๆ ซดคล่องคอ

เด็กๆ ก็ช่วยได้
เตรียมผักให้คุณแม่ กับหน้าที่เฉพาะกิจไม่มีบ่อยๆ อย่างม้วนปลาก็น่าสนุกดี แต่เบามือหน่อยแล้วกันนะ

การนึ่ง ย่าง อบ และต้มจะช่วยรักษาน้ำมันที่มีประโยชน์ในปลา (อย่างกรดไขมันตระกูลโอเมก้า 3 ที่ช่วยบำรุงและป้องกันโรคหัวใจ วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และวิตามินดีที่ช่วยในการเจริญเติบโต พร้อมเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง) ให้คงอยู่และเกิดประโยชน์แก่ร่างกายเรามากที่สุด

http://www.horapa.com/content.php?Category=Kidsfood&No=888
ยำมะม่วง


ส่วนผสม

มะม่วงเปรี้ยวสับแล้วฝานเป็นเส้นๆ 1 ถ้วย
กุ้งแห้ง 1/4 ถ้วย
หอมแดงหั่นตามยาวบางๆ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงคั่ว 1/4 ถ้วย
พริกขี้หนูหั่น 2 ช้อนโต๊ะ
ผักกาดหอม 1 ต้น

www.horapa.com
วิธีทำ
1. ล้างมะม่วง ปอกเปลือก สับ แล้วฝานเป็นเส้น
2. ล้างผักกาดหอมให้สะอาดเด็ดเป็นใบๆ
3. ทำน้ำยำโดยผสมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปีบ คนให้เข้ากัน ใส่พริกขี้หนูหั่น
4. เคล้าส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตักใส่จานที่รองด้วยผักกาดหอม

http://www.horapa.com/content.php?Category=Appitizer&No=1002

น้ำดื่มสมุนไพร

กิน อยู่อย่างไทย ตามแบบภูมิปัญญาไทยเพื่อบำรุงสุขภาพ โดยใช้สมุนไพรหรือผักผลไม้ที่หาได้ไม่ยากในวิถีชีวิตแบบ ไทย ๆ นำมาปรุงแต่งให้เป็นเครื่องดื่ม โดยยังคงคุณค่าตัวยาในการส่งเสริมสุขภาพหรือรักษาโรคไว้เช่นเดิม น้ำดื่ม สมุนไพ คือส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย พร้อมกับพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรเพื่อให้ยั่งยืนคู่สังคมไทย และสภาพแวดล้อมไทย ๆ ต่อไป

น้ำมะละกอ
สรรพคุณ ช่วยย่อยอาหารระบายท้อง แก้ท้องผูก
วิธีทำ
นำ มะละกอสุกมาปอกเปลือก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงไปในเครื่องปั่น ใส่น้ำตาลทรายแดงและเกลือป่น นิดหน่อย ใส่น้ำแข็ง ปั่นให้ละเอียด ดื่มได้เลย

น้ำส้มจี๊ด
สรรพคุณ
แก้ไข ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ ลดความกระหายน้ำ ชุ่มชื่มคอ
วิธีทำ
นำ ผลส้มจี๊ดที่แก่จัดแต่ยังไม่สุก นำไปล้างน้ำให้สะอาด ผ่าออกแล้วบีบเอาแต่น้ำปั่นกับน้ำต้มสุก เติมน้ำเชื่อม และ เกลือป่นชิมรสตามต้องการ ใส่น้ำแข็งรับประทาน

น้ำขิง
สรรพคุณ
แก้ท้องเฟ้อ ท้องอืด ทำให้เจริญอาหาร แก้คลื่นไส้อาเจียน ช่วยขับลมได้ด้วย
วิธีทำ
นำ ขิงแก่มาล้างให้สะอาด แล้วทุบให้แตกใส่หม้อต้มกับน้ำสะอาด ปล่อยให้เดือดและเคี่ยวไปสักพัก จนขิงละลายน้ำเห็น เป็นสีเหลืองอ่อน เคี่ยวต่อไปอีกสัก 15 นาที ก็ยกลงแล้วใส่น้ำตาลทรายแดงลงไป คนให้เข้ากัน ใช้ดื่มร้อน ๆ ก็แจ่มใส หรือจะใส่น้ำแข็งดื่มก็ชื่นใจ

น้ำตะไคร้
สรรพคุณ
แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ
วิธีทำ
ใช้ ตะไคร้ทั้งราก และใบมาล้างทำความสะอาด เสร็จแล้วเอามาทุบให้แตกและตัดเป็นท่อน ๆ ใส่ลงไปในหม้อน้ำ ต้มจนเดือด และเครี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ จนเห็นน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำเป็นสีเขียวอ่อน ๆ ใส่เกลือลงไปและเคี่ยวต่อไป อีกสักพักจึงยกลงและนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง เสร็จแล้วนำแต่น้ำตะไคร้ต้มต่อไปอีก ใส่น้ำตาลทรายแดงและเคี่ยว ต่อจนน้ำทรายละลาย ยกลงและใส่น้ำแข็งรับประทานได้

น้ำหญ้าหนวดแมว
สรรพคุณ
ลดอาการปวดเมื่อย รักษาโรคไต ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา
วิธีทำ
นำ หญ้าหนวดแมวมาล้างทำ ความสะอาด สับเป็นท่อนทั้ง ต้น ใบ ดอก รวมกันตากให้แห้งเสร็จแล้วเอาไปคั่ว เวลาจะรับ ประทานก็นำมาต้มจนเดือดเพื่อให้คุณค่าในหญ้าหนวดแมวออกมา เสร็จแล้วใช้ดื่มเป็นน้ำชาอุ่น ๆ

น้ำชะพลู
สรรพคุณ
แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม
วิธีทำ
นำ รากกับต้นชะพลูมาล้างให้สะอาด เอามาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้ง เสร็จแล้วเอามาต้มกับน้ำตามสัดส่วนที่ ต้องการต้มและเคี่ยมจนน้ำงวดลง ก็เอาไปดื่มเป็นน้ำสมุนไพรได้

น้ำสับปะรด
สรรพคุณ
ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ
วิธีทำ
นำ เนื้อสับปะรดมาหั่นเป็นชิ้น ๆ ใส่ลงในเครื่องปั่น ใส่น้ำตาลทรายแดง เกลือป่นน้ำแข็งทุบ เสร็จแล้วปั่นให้ละเอียด เทใส่แก้วรับประทานได้เลย

น้ำมะระขี้นก
สรรพคุณ
เป็นยาเจริญอาหาร และแก้โรคเบาหวาน
วิธีทำ
นำ มะระขี้นกมาล้างให้สะอาด ผ่าซีกเอาเมล็ดออกไปให้หมด หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ นำไปตากให้แห้งสนิท เวลารับประทานให้ นำไปต้มน้ำเดือด ปล่อยให้ตัวยาละลายออกมา ใช้ดื่มเป็นชาได้อย่างวิเศษ (หากกลัวรับประทานยากเพราะขม มีวิธีแก้คือ เอาใบเตยหอมมาหั่นเป็นท่อนตากแห้ง แล้วเอามาคั่วให้เหลืองกรอบ จึงนำไปชงพร้อมกับมะระ จะกลบความขมของมะระขี้นกได้

น้ำองุ่น
สรรพคุณ
แก้กระหายน้ำ รักษาโรคหนองใส ปัสสาวะขัด เจ็บ
วิธีทำ
ใช้ องุ่นม่วง ล้างให้สะอาดแช่น้ำไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง นำขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำผ่าครึ่ง เอาเมล็ดออก นำเนื้อองุ่นไปต้มและ เคี่ยวให้เปื่อย กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำตาลเกลือป่น ตั้งไฟต้มจนน้ำตาลทรายละลายเป็นใช้ได้ ใส่น้ำแข็งรับประทานชื่นใจ

น้ำแคนตาลูป
สรรพคุณ
บำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ ขับน้ำนม บำรุงหัวใจ สมอง แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ แก้กระหาย ดับพิษร้อน
วิธีทำ
นำแคนตาลูปสุกหั่นเป็นชิ้นใส่เครื่องปั่น โดยใส่น้ำต้มสุกลงไปด้วย ใส่น้ำเชื่อม เกลือและน้ำแข็ง ใส่และปั่น ดื่มเย็นใจ

น้ำมะระจีน
สรรพคุณ
แก้ตับ ม้ามพิการ บำรุงน้ำดี ขับพยาธิ แก้ปวด ตามข้อตามเข่า
วิธีทำ
ให้ มะระจีนผลใหญ่ ล้างให้สะอาด เอาไส้และเมล็ดออก หั่นเอาแต่เนื้อใส่เครื่องปั่นเติมน้ำสุก ปั่นให้ละเอียด กรองเอา แต่น้ำแล้วเติมน้ำเชื่อม เกลือป่น ชิมรสตามต้องการ เวลาดื่มใส่น้ำแข็งบด ดื่มแล้วชื่นใจhttp://www.horapa.com/content.php?Category=Beverage&No=922
น้ำสมุนไพรแต่ละชนิดนั้นทำไม่ยากเลยใช่มั๊ยคะ นอกจากคลายร้อนแล้ว ยังมีประโยชน์อีกต่างหาก
วุ้นกรอบ



ส่วนผสม
ผงวุ้น 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1. นำวุ้นกับน้ำใส่หม้อ ตั้งไฟกลางให้วุ้นละลาย ใส่น้ำตาลทรายขาว กรองด้วยผ้าขาวบาง ยกขึ้นตั้งไฟ
2. เคี่ยวต่อให้เหนียวนิดหน่อย (นำแป้งเท้ายายม่อมละลายน้ำเตรียมไว้) เทส่วนผสมให้เข้ากับวุ้นที่เคี่ยว
3. เทวุ้นลงในถาด หนาประมาณ 1/2 นิ้ว ทิ้งไว้ให้แข็งตัว ตัดด้วยพิมพ์รูปต่างๆหรือตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้วยมีดตัดวุ้น
4. นำวุ้นที่ได้ไปตากแดดจัดๆประมาณ 2-3 วัน จนแห้งสนิท
http://www.horapa.com/content.php?Category=Dessert&No=758
หมายเหตุ
ใส่แป้งเท้ายายม่อมเพราะทำให้เนื้อวุ้นไม่แข็งกระด้าง
บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก



ส่วนผสมวานิลลาสปองจ์

แป้งเค้ก 115 กรัม
ผงฟู 2 กรัม
ไข่ไก่ 4 ฟอง
น้ำตาลทราย 135 กรัม
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
นมข้นจืด 35 กรัม
เนยละลาย 80 กรัม
น้ำเปล่า 45 กรัม
S.P. 1 ช้อนโต๊ะ
กลิ่นวานิลลา

วิธีทำวานิลลาสปองจ์
1. ร่อนแป้งเค้กและผงฟูเข้าด้วยกัน พักไว้
2. ตีไข่ไก่ เกลือป่น น้ำตาลทราย และ S.P. ด้วยหัวตีตะกร้อใช้ความเร็วต่ำพอเข้ากัน
3. เติมส่วนผสมแป้งในข้อที่ 1 ลงผสม ตีต่อด้วยความเร็วปานกลางกระทั่งส่วนผสมขึ้นฟูจนเป็นสีขาว
4. เติมนมข้นจืด เนยละลาย น้ำเปล่า และกลิ่นวานิลลาลงในส่วนผสม ตะล่อมให้เข้ากันโดยใช้ตะกร้อมือ
5. เทส่วนผสมที่ได้ใส่ถาดที่รองด้วยกระดาษรองอบแล้วปาดให้เนียนเรียบเสมอกัน
6. นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 220 องศาเซลเซียส นานประมาณ 20 นาที หรือจนเนื้อสปองจ์สุก
7. รอจนเนื้อสปองจ์เย็นตัวลง จึงใช้พิมพ์กดและใช้รองเป็นฐาน

ส่วนผสมชีสเค้ก
ครีมชีส 500 กรีม
น้ำตาลทราย 175 กรัม
ไข่ไก่ 2 ฟอง
ไข่แดง 2 ฟอง
แป้งเค้ก 24 กรัม
ครีมสด 120 มิลลิลิตร
น้ำมะนาว 2 ผล
บลูเบอร์รี่กระป๋อง 1 กระป๋อง

วิธีทำ
1. ตีครีมชีสด้วยหัวตีใบไม้โดยใช้ความเร็วต่ำ เมื่อครีมชีสเริ่มนิ่มจึงค่อยๆใส่น้ำตาลทรายและแป้งเค้ก ตีต่อจนน้ำตาลทรายผสมเข้ากันดีกับครีมชีส
2. ค่อยๆใส่ไข่ไก่ทีละฟองจนหมด ตามด้วยไข่แดงทีละฟองเช่นกัน ตีต่อด้วยความเร็วต่ำ จนเนื้อขนมเนียน
3. เติมครีมสดและน้ำมะนาวลงในส่วนผสม ตีส่วนผสมทั้งหมดต่อจนกระทั่งเนื้อเนียนสวย จึงตักใส่พิมพ์ที่รองด้วยวานิลลาสปองจ์เป็นฐาน
4. นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที หรือจนกระทั่งขนมสุก สังเกตได้จากเมื่อกดที่ผิวขนมไม่เละติดมือ
5. ตกแต่งหน้าขนมด้วยบลูเบอร์รี่กระป๋องhttp://www.horapa.com/content.php?Category=Bakery&No=795
กุ้งบดปรุงรส



กุ้งบดปรุงรส (ใช้ทำลูกชิ้นกุ้ง ไส้เกี๊ยว และติมซำหลายชนิด)

กุ้ง บดปรุงรสใช้ทำเป็นลูกชิ้นกุ้งหรือไส้กุ้งก็ได้ ทำง่าย มีสีส้มสวยของเนื้อกุ้ง กินแล้วได้เนื้อกุ้งกรอบเต็มๆคำ มีรสเค็มหวานกลมกล่อม หอมกลิ่นเหล้าจีนและน้ำมันงา นำไปใช้ทำอาหารได้หลายจาน เช่น ไส้เปาะเปี๊ยะทอด ไส้ขนมจีบ ไส้ฮะเก๋า ไส้เกี๊ยวทอดหรือเกี๊ยวน้ำ หรือทำเป็นลูกชิ้นทอดแล้วนำไปผัดน้ำแดง หรือผัดทำเป็นก๋วยเตี๊ยวหน้ากุ้งเป็นต้น

การทำลูกชิ้นกุ้งหรือไส้กุ้ง จะใช้กุ้งทะเลหรือกุ้งขาว เพราะเนื้อกุ้งมีรสหวาน กรอบ เมื่อตีหรือยีเนื้อกุ้งจะเหนียวดี ใช้กุ้งขาวตัวเล็กๆ(กุ้งซีแฮ้) หรือกุ้งขาวตัวใหญ่ (กุ้งแชบ๊วย) ก็ได้ ข้อสำคัญคือเลือกที่สดใหม่ เนื้อไม่แข็งเล หัวติดแน่น เปลือกใส

เคล็บความอร่อยคือกุ้งต้องสดใหม่

วิธีทำ
- ล้างกุ้งด้วยแป้งมันจนน้ำที่ล้างใส แล้วซับน้ำที่เนื้อให้แห้ง
- นำไปแช่จนเย็น
- ส่วนมันหมูแข็งต้องสดใหม่เป็นสีขาวแล้วแช่เย็นเช่นกัน
- เมื่อนำเนื้อมาตีขณะยังเย็นอยู่ จะทำให้ส่วนผสมเหนียวดี
- เมื่อปรุงสุกเนื้อกุ้งจะกรอบเด้งเป็นพิเศษ

ถ้า ทำลูกชิ้นกุ้งหรือไส้กุ้งในปริมาณมาก แนะนำให้ใช้เครื่องผสมอาหารตีโดยใช้หัวตีรูปใบพัด ตีด้วยความเร็วสูง เนื้อกุ้งจะเหนียวอย่างรวดเร็ว

http://www.horapa.com/content.php?Category=Chinese&No=720
อาหารเป็นยา

อาหาร เป็นยา เป็นคำที่ทราบกันดีในหมู่นักบริโภคเพื่อสุขภาพทั้งหลายซึ่งเราขอยกมือสนับ สนุนเต็มที่ค่ะ เพราะอาหารที่คุณคุ้นเคยหลายชนิดซึ่งนอกจากจะอร่อยลิ้นแล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดปัญหาทางสุขภาพและช่วยส่งเสริมสุขภาพของคุณด้วยค่ะ อันนี้นักวิจัยเขายืนยันมา และนี่ก็คือ 9 ยอดอาหารธรรมชาติที่ช่วยรักษาสุขภาพของคุณค่ะ

1. บร็อคโคลี่
แชมเปี้ยนผักในตระกูลกะหล่ำที่เป็นที่นิยมของนักบริโภคทั่วโลกบร็อคโคลี่มีประโยชน์ดังนี้ค่ะ

- ช่วยป้องกันมะเร็ง
- อุดมด้วยวิตามินซี สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ในร่างกาย และยังช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรงอีกด้วยค่ะ
- ประกอบด้วยสาร glutathione ซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดไขข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคหัวใจ และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ลดระดับคลอเลสเตอรอล และช่วยลดความดันโลหิตสูงค่ะ
- ป้องกันการเกิดต้อกระจก เนื่องจากบร็อคโคลี่ จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูง โดยเฉพาะสาร lutein ค่ะ

ขนาดรับประทาน : บร็อคโคลี่ 1/2 ถ้วย ต่อสัปดาห์ ก็จะดีต่อสุขภาพของคุณ

2. กระเทียม
ช่วย ลดคลอเลสเตอรอล มีฤทธิ์คล้ายกับยาแอสไพรินในการช่วยป้องกันการแข็งตัวและการอุดตันของหลอด เลือด มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้เหมือนกับยาเพ็นนิซิลิน โดยเฉพาะเวลาที่เจ็บคอ สามารถใช้กระเทียมรักษาได้ดีค่ะ และยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมอีกด้วยค่ะ

ขนาดรับประทาน : การป้องกันโรคหัวใจรับประทานวันละ 1 กลีบ และโดยทั่วไป ก็แนะนำให้รับประทานกระเทียมเป็นประจำทุกวันแล้วแต่ปริมาณที่คุณชอบค่ะ



3.ถั่วแดง

เป็น อาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมากค่ะ ดังนั้นจึงช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ค่ะ อุดมด้วยกรดโฟลิค ที่ช่วยบำรุงโลหิต ป้องกัน ความผิดปกติของทารกในครรภ์ นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ polyphenolics ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีอีกด้วยค่ะ

ขนาดรับประทาน : ควรรับประทาน 1 ถ้วย / วัน ค่ะ




4. นมพร่องมันเนย

เป็น แหล่งของแคลเซี่ยมสูงที่ปลอดไขมัน ซึ่งป้องกันภาวะกระดูกพรุนและยังประกอบด้วยสารโปรตัสเซี่ยมและแมกเนเซี่ยม ที่ออกฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิตสูงค่ะ

ขนาดรับประทาน : คนวัยหนุ่มสาวต้องการแคลเซี่ยมวันละ 1000 mg ค่ะ ส่วนวัยสูงอายุจะต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 1500 mg /วัน จึงจะเพียงพอค่ะปัจจุบันมีนมพร่องมันเนยแคลเซี่ยมสูงจำหน่ายอยู่ทั่วไป เลือกดื่มได้ตามปริมาณที่แนะนำนะคะ




5. ส้ม
ยอด ผลไม้ที่มีปริมาณวิตามิน ซี สูง เส้นใยอาหารสูง รวมทั้งสารอาหารชนิดอื่นๆ ซึ่งช่วยป้องกันหวัด ลดระดับคลอเลสเตอรอล ช่วยในการสร้างกระดูก ป้องกันการเกิดนิ่วในไต ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ตลอดจนช่วยฟื้นฟูอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจอีกด้วย ค่ะ นอกจากนี้สาร phytochemicals ในส้มยังช่วยต่อต้านมะเร็งเต้านมด้วยค่ะ

ขนาดรับประทาน : ควรรับประทานส้มวันละ 1-2 ผล เป็นประจำทุกวัน




6. ปลาแซลมอน
มี ปริมาณน้ำมันปลาที่เรียกว่า Omega-3s ค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ และช่วยควบคุมอาการไขข้ออักเสบ นอกจากนี้น้ำมันปลายังช่วยลดอาการปวดรอบเดือน กลุ่มอาการก่อนมีรอบเดือนรวมทั้งช่วยระงับอาการซึมเศร้าได้ด้วยค่ะ

ขนาดรับประทาน : รับประทานสัปดาห์ละ 3 ออนซ์





7. เต้าหู้
หนึ่ง ในอาหารชั้นเลิศที่ควรเลือกรับประทานค่ะ ช่วยลดระดับไขมัน คลอเลสเตอรอล อุดมด้วยสาร Isoflavone สารเอสโตรเจนธรรมชาติจากพืช ป้องกันกระดูกพรุน ป้องกันมะเร็งเต้านม และยังช่วยให้ไตทำงานได้ดีด้วยค่ะ

ขนาดรับประทาน : 30-50 mg ของ Isoflavone / วัน หรือเท่ากับปริมาณ
เต้าหู้ 1/2 ถ้วย/วัน ซึ่งมี Isoflavone 35 mg.




8. ซอสมะเขือเทศ
นอก จากจะสุดอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายค่ะ เช่น ป้องกันมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร สาร lycopene ในมะเขือเทศเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ พบมากในเฉพาะมะเขือเทศเท่านั้น ในผักผลไม้ชนิดอื่นจะมีlycopene น้อยค่ะ สาร lycopene มีคุณสมบัติ กำจัดสารอนุมูลอิสระตัวอันตรายให้ออกไปจากร่างกายของคุณ ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันมะเร็งแล้ว ยังช่วยให้คุณห่างไกลความร่วงโรยอีกด้วยละค่ะ น่าสนมั้ยละคะ...

ขนาดรับประทาน : รับประทานได้ตามใจชอบเป็นประจำทุกวันค่ะ



9. น้ำ

ร่าง กายของคนเราประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ จึงจำเป็นที่คุณควรจะดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำคือยาอันมหัศจรรย์ทีเดียวค่ะ หากดื่มน้ำได้เพียงพอ จะช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย ตะคริว รักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย ป้องกันการเกิดนิ่ว และยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสค่ะ ฉะนั้น ควรจะดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วและถ้าคุณสามารถดื่มได้มากกว่านี้ก็นับว่าเป็นกำไรของคุณค่ะhttp://www.horapa.com/content.php?Category=Healthy&No=886


"เสาวรส"...ผลไม้มากคุณค่า



เสาวรส
เป็นผลไม้เขตร้อน ให้คุณประโยชน์ทางโภชนาการสูง มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตาปรับสมดุลในร่างกาย ให้สดชื่นนอกจากนี้ยังช่วยสมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสามารถนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ดีอีกด้วย

ด้วย เหตุนี้ ช่อลัดดา เที่ยงพุก นักวิจัยฝ่ายกระบวนการผลิตและแปรรูป สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แนะนำว่า เสาวรส หรือ กระทกรก กระทกรกฝรั่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Passifora spp. พบครั้งแรกที่ประเทศเม็กซิโก และนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2498 มี 3 สายพันธุ์ คือ พันธุ์สีม่วง เมื่อผลสุกผิวมีสีม่วงเข้ม มีรสชาติหวาน กลิ่นหอม นิยมรับประทานสด , พันธุ์สีเหลือง เมื่อผลสุกผิวมีสีเหลืองเป็นมัน เปลือกหนา มีรสเปรี้ยว เหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นเครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้ชนิดต่างๆและ "พันธุ์ลูกผสมสีหลืองและสีม่วง"


ช่อลัดดา นักวิจัย มก. กล่าวถึงคุณประโยชน์ที่ได้จากเสาวรส มีคุณค่าทั้งวิตามินเอ และวินตามินซี "คุณประโยชน์ของเสาวรสที่นำมาทำเป็นน้ำเสาวรสมีทั้งวิตามินเอ บำรุงสายตาช่วยรักษาสภาพเยื่อบุผิว มีวิตามินซี ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค นำไปปรุงแต่งกินประกอบอาหาร ขนมต่างๆ อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ใช้ทาหน้าก่อนนอน ลดรอยเหี่ยวย่น และช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับร่างกาย ลดอาการวิงเวียนคลื่นไส้ บรรเทาอาการจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ฟื้นฟูตับและไตที่อ่อนแอ กำจัดสารพิษในเลือด ลดไขมันในเลือด

ลักษณะของเสาวรสจะมี
ยอดอ่อน ที่สามารถรับประทานได้ มีรสชาติขมเล็กน้อย
เนื้อหุ้มเมล็ด ในผล รับประทานสดได้ มีกากใยอาหาร
ใบสด ใช้พอกแก้หิด
ดอก ใช้ขับเสมหะ แก้ไอ
ต้นสด ห้ามนำมารับประทานเพราะอาจถึงตายได้
เปลือก เป็นอาหารสัตว์ และนำมาทำปุ๋ยหมักได้ ส่วน
เมล็ด มีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

นอก จากนี้ในประเทศอิตาลีได้ผลิตน้ำมันจากเมล็ดของเสาวรส และนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์กันแดด ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดการอักเสบของสิว ช่วยลดจุดด่างดำ เนื่องจากมีวิตามินซีสูงและวิตามินเอช่วยสมานผิวรักษาเยื่อบุผิวหนัง ซึ่งในทางอโรมาจัดว่า น้ำเสาวรสเป็นน้ำมันที่ให้ความผ่อนคลายในการนวดได้ดี และนิยมใช้นวดบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ดีอีกด้วย
http://www.horapa.com/content.php?Category=Herb&No=1021

ผัดหอยลาย



เครื่องปรุง
หอยลายสด 1/2 กิโลกรัม
โหระพา 1 กำ
น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
กะทิ หรือนมสด 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าแต่งหน้า 1 เม็ด
กระเทียม 1 หัว


วิธีทำ
1. หอยลายล้างน้ำให้สะอาด พักไว้
2. ใบโหระพาเด็ดเป็นใบๆ กระเทียมสับพอแหลก เตรียมไว้
3. กระทะตั้งไฟ ใส่หอยลายพร้อมกับกระเทียมและกะทิ ปิดฝากระทะไว้เพื่อให้หอยสุก
4. ปรุงรสด้วยน้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ โรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าและใบโหรพา

หมายเหตุ
ถ้าไม่ชอบกะทิก็สามารถผัดกับน้ำมันได้
http://www.horapa.com/content.php?Category=Thai&No=945


ฮิยาชิ ราเมน


เครื่องปรุง
บะหมี่เหลือง 4 ก้อน
ไข่ 2 ฟอง
เนื้ออกไก่ 100 กรัม
แฮม 4 แผ่น
แตงกวาญี่ปุ่น 1 ลูก
สาเก, น้ำมันงา อย่างละเล็กน้อย

เครื่องปรุงน้ำซอส
น้ำซุป 1/2 ถ้วย
น้ำส้มสายชู 1/5 ถ้วย
โชยุ 1/5 ถ้วย
น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/2 ช้อนชา
น้ำมันงา 1 ช้อนชา
พริกป่นละเอียด 1 ช้อนชา
งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ตอกไข่ใส่ถ้วย ตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อน ใส่น้ำมันลงเล็กน้อย จากนั้นเทไข่ลงแล้วหมุนกระทะ ให้ไข่แผ่เป็นแผ่นบางๆ พอสุกนำมาซอยให้เป็นเส้นๆ
2. นำเนื้อไก่ลงต้มในหม้อ เติมสาเกเล็กน้อย ต้มให้สุกแล้วนำมาฉีกเป็นฝอย
3. ลวกแฮมในน้ำเดือด แล้วหั่นเป็นเส้นๆ
4. ซอยแตงกวาเป็นเส้น ส่วนผสมที่นำมาซอยเป็นเส้นควรทำให้มีขนาดเท่ากันทั้งหมด
5. ปรุงน้ำซอส โดยนำน้ำซุปตั้งไฟ จากนั้น เติมน้ำส้ม โชยุ น้ำตาลและเกลือ พอเดือดก็ยกลงแล้วเติมน้ำมันงา พริกป่นและงาขาวคั่ว คนให้เข้ากัน แล้วตักใส่ถ้วย
6. ลวกเส้นบะหมี่ในน้ำเดือดๆ พอสุกแล้วนำมาผ่านในน้ำเย็น ใช้มือขวาไปมา ทำให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นนำมาคลุกกับน้ำมันงาให้ทั่วแล้วจัดใส่จาน
7. วางเครื่องที่เตรียมไว้ทั้งหมดบนเส้นบะหมี่ จัดเรียงให้สวยงาม นำมาทานกับน้ำซอส